Hello world!
Welcome to WordPress. This is your first post. Edit or delete it, then start writing!
Welcome to WordPress. This is your first post. Edit or delete it, then start writing!
จากประสบการณ์ของผม 20 ปีในวงการการขายนะครับ ตั้งแต่พนักงานประจําออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจ แล้วก็เป็นวิทยากรฝึกอบรมให้นักขายมากมายเนี่ย ผมพบว่าสิ่งหนึ่งที่นักขายผิดพลาดกันมากเลย ก็คือการที่นักขายไม่เห็นด้วยกับลูกค้าครับ ไม่ว่าตอนนี้เราจะขายสินค้าอะไรนะครับ จะเป็นแบบขายให้ผู้บริโภคแบบ B2C หรือจะขายให้ลูกค้าในองค์กรแบบ B2B เนี่ย สิ่งนี้ห้ามทําเด็ดขาดเลยก็คือการเสี่ยงกับลูกค้านะครับ ถึงแม้ว่าลูกค้าจะพูดสิ่งที่เราก็รู้ว่าผิดแน่นอน แต่ห้ามเถียงเด็ดขาดนะครับ เน้นหลายครั้งเลยนะครับ เพราะธรรมชาติของคนเราครับ เราชอบคนที่เป็นความคิดถูกต้อง ต้องการให้คนเห็นด้วยกับเราเสมอ ถ้านักขายไม่เห็นด้วยกับลูกค้าตั้งแต่แรก มันจะเหมือนมีกําแพงกั้นระหว่างนักขายกับลูกค้าในทันทีเลยนะครับ แล้วทุกอย่างหลังจากนั้นมันก็จะจบเลย หลังจากนั้นคุณพูดอะไรเสนออะไรลูกค้าเขาก็ไม่ฟังแล้ว แล้วถ้าลูกค้าพูดในสิ่งไม่ตรงกับสิ่งที่เราอยากเสนอขายเนี่ยจะทํายังไงล่ะ ? ผมคิดว่านักขายส่วนนึงเลยจะมีคําถามนี้ในใจเวลาที่ลูกค้าพูดสิ่งที่ไม่ห็นด้วยกับเรานะครับ สิ่งที่ผมจะแนะนําเนี่ยฮะก็คืออย่างแรกครับเราต้องเห็นด้วยกับลูกค้าไปก่อน และเสริมด้วยความคิดของเราเข้าไปต่อครับ ผมจะยกสถานการณ์อันนึงมาให้นะครับ อย่างเช่นมีลูกค้าบอกว่าสินค้าบริษัทคุณราคาแพงกว่าทุกรายเลยนะ นักขายทั่วไปจะบอกแบบนี้ครับ ไม่จริงครับพี่ ราคาของผมไม่ได้แพงที่สุดนะครับ พี่ไปหาข้อมูลมาจากไหนครับ เท่าที่ผมเช็คมานะฮะ บลา บลา บลา แล้วก็จะเกิดการโต้เถียงกับลูกค้าต่อนะฮะ สุดท้ายถึงแม้ว่าเราจะชนะลูกค้า ชนะการโต้เถียงนั้นนะครับ แต่ลูกค้าก็ไม่ได้ซื้อของกับเราอยู่ดีครับ ลองสมมุติสถานการณ์เดียวกันนะครับ ลูกค้าก็ถามมาว่า สินค้าบริษัทคุณแพงกว่าทุกรายเลยนะ นักขายที่ดีจะตอบว่า เห็นด้วยครับพี่ สินค้าเราแพงกว่าลูกค้ารายอื่นครับ ลูกค้าก็จะรู้สึกดีแล้ว เพราะว่าเราเห็นด้วยกับเขานะครับ หลังจากนั้นให้เราเสริมด้วยประโยคแบบนี้ครับ แต่ผมขออนุญาตแนะนํานะครับ ถ้าพี่พิจารณาดูลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าของเรานะฮะ จะเห็นได้ว่าเป็นลูกค้าจากบริษัทใหญ่ใหญ่ทั้งนั้นเลย…
จากบทความครั้งที่แล้วผมได้พูดถึงให้เลือกงานทําที่เรามีความสุข แล้วในระยะยาวเราจะประสบความสําเร็จได้ดีนะครับ แต่อย่างไรก็ตามในแต่ละวันเนี่ย อาจจะมีสิ่งรบกวนต่างๆที่ทําให้เรามีความสุขน้อยลง หรือมีความทุกข์ในชีวิตในแต่ละวันนะครับ ผมก็เลยได้รวบรวม 7 วิธีนะครับที่จะทําให้เราเนี่ย กลับไปมีความสุขอีกครั้งนึงหลังจากที่เราเจอความทุกข์ในแต่ละวันนะครับ วิธีที่ 1 ครับ เราก็ต้องมีการปล่อยวางไปบ้างนะครับ บางสิ่งบางอย่างในชีวิตเนี่ยที่มันเข้ามาไม่ได้ดังใจ อาจจะโดนเจ้านายว่า ลูกค้าต่อว่า ลูกค้าไม่ซื้อของ โดนครอบครัวต่อว่า โดนแฟนสามีภรรยาต่อว่า หรือว่ามีเรื่องที่เราไม่ชอบใจในแต่ละวันเนี่ย ผมอยากจะให้เราปล่อยวางไว้บ้างครับ คิดซะว่าเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทุกคนนะครับ ที่ต้องมาเจอเรื่องไม่ดี แล้วถ้าเกิดเราไม่ปล่อยวางเลยเนี่ย มันเหมือนมีน้ําหนักกดอยู่ที่หัวไหล่เราตลอดเวลา เราจะต้องแบกความทุกข์ไปตลอดเวลาครับ แต่ถ้าเกิดเราปล่อยวางเนี่ยนะครับ มันเหมือนกับเราเอาน้ําหนักออกจากตัวเรา ออกจากไหล่เรา แล้วเราจะรู้สึกสบายมากขึ้น ยกตัวอย่างผมเองนะครับ หลายๆครั้งเหตุการณ์ในชีวิต ที่ผมคิดว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นความทุกข์ เป็นสิ่งที่ทําให้เรารู้สึกไม่สบายใจ แต่พอผ่านมาเมื่ออาทิตย์นี้ เรารู้สึกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หลายๆครั้งที่เรื่องเหล่านั้นกลับกลายเป็นเรื่องดีด้วยซ้ํา วิธีที่ 2 ให้ทําตาม passion ของเรา passionคือสิ่งที่เราอยากจะทํา สิ่งที่เรารู้สึกว่าเราทําแล้วมีความสุข สนุกกับมันนะครับ passion ของเราเนี่ยอาจจะไม่ใช่งานประจํา ไม่ใช่งานที่เราทํา ณ ตอนนี้ก็ได้ อาจจะเป็นงานอดิเรก แต่ถ้าวันใดวันนึงเนี่ยนะครับ การที่เราทําตาม passion ของเราเนี่ยนะครับ…
วันนี้ผมจะมาชวนคุยเรื่องนี้นะครับซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนเนี่ยน่าจะมีคําถามนี้โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตเลยนะครับ หรือในช่วงที่เราต้องเลือกธุรกิจในการทํางานนะครับ ก่อนที่ผมจะตอบคําถามนี้นะครับ ผมอยากจะให้คุณลองฟังเรื่องราวของผมก่อนนะครับ ผมจบปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมเครื่องกลที่มหาลัยแห่งหนึ่งนะครับ ครอบครัวผมเองเนี่ยอยากให้ผมทํางานในสายวิศวกรรมมากๆ เพราะว่าลูกจบตรงทางด้านสายวิศวกรรมเครื่องกลมา แล้วก็เป็นมหาลัยที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งด้วยนะครับ แต่ตัวผมเองนะครับ ระหว่างที่ผมทํากิจกรรมในมหาวิทยาลัยเนี่ยครับ ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขมากกว่าในแง่ของงานด้านการขาย การพูด การพรีเซนต์ การติดต่อผู้คน เพราะฉะนั้นตอนที่ผมจบปริญญาตรีมาเนี่ย ผมตั้งใจว่าผมจะไม่ทํางานเป็นวิศวกรในโรงงานเลย แต่ผมเลือกที่ผมจะสมัครทํางานเป็นนักขาย ผมเริ่มต้นจากการเป็นนักขายเครื่องจักรกลโรงงานอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกันนะครับ ผมก็ได้ศึกษาเรียนรู้ว่าตัวเองชอบอะไร จนผมเปลี่ยนสายงานไปทําทางด้านของเซลล์ทางด้านไอทีนะฮะ แล้วหลังจากนั้นเนี่ยเซลล์ทางด้านไอทีเทคโนโลยีตอบโจทย์การทำงานผมนะครับ ผมก็ทํางานสายนี้เรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน ที่ผมออกมาทําธุรกิจของตัวเองก็เป็นธุรกิจที่ทําทางด้านการขายด้วย ถ้าย้อนกลับไปวันนั้น ผมเลือกที่จะไม่ทํางานด้านนักขาย แต่ผมเลือกที่จะทํางานในตรงสายอาชีพที่ผมจบมา ก็คือวิศวกรเครื่องกล ปัจจุบันผมอาจจะเป็นผู้จัดการโรงงานสักที่นึง ไม่แน่นะครับ รายได้ก็อาจจะใกล้เคียงกับรายได้จากการที่ผมเป็นนักขายในตอนนี้ก็ได้ แต่ผมพบว่าสิ่งที่มันต่างกันแน่นอน ก็คือความสุขในการทํางานครับ ผมรู้เลยครับว่าตั้งแต่ตอนผมฝึกงานเห็นหลายคนที่ฝึกงานในโรงงานเนี่ย เพราะว่ามันไม่ใช่ตัวผม ถ้าผมทําไปผมคงไม่ไม่ได้มีความสุขแน่นอน ถึงแม้ว่าช่วงแรกในการจบทํางาน เงินเดือนเริ่มต้นในสายวิศวกรโรงงานเนี่ยจะเป็นเงินเดือนที่ค่อนข้างดีมาก ในขณะที่นักขายเริ่มต้นด้วยเงินเดือนที่ต่ํามาก และหลังจากนั้นถึงต้องไต่เต้า ต้องเรียนรู้ ต้องเก็บประสบการณ์ เปลี่ยนงาน เพื่อจะมีรายได้ มีเงินเดือนที่สูงมากขึ้น พอถึงวันนี้ผมรู้สึกไม่เสียใจเลยที่ผมเลือกอาชีพที่จะเป็นนักขายมาโดยตลอด เพราะผมมีความสุข และมีความสนุกกับทุกๆวันที่ทํางาน ถึงแม้ว่าสมัยก่อนอาชีพวิศวกรเครื่องกลจะเป็นสิ่งที่ผมควรจะทําก็ตาม ตอนที่ผมไปงานเลี้ยงรุ่น ก็เจอเพื่อนๆหลายคนส่วนใหญ่ก็ยังทํางานตรงสายอยู่ สายทางด้านวิศวกรรม ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมโยธา…
หากตอนนี้คุณกําลังหางานอยู่ อยากจะขอเงินเดือนขึ้น หรือกําลังจะย้ายงานใหม่เพื่อให้ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นนะครับ ผมจะแชร์ 3 ทักษะนี้จะช่วยคุณได้ครับ ซึ่งทักษะความชํานาญในวิชาชีพตรงนี้นะครับ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการเนี่ยเขามองหาในตัวคุณนะครับ 2. ทักษะที่สองครับ คุณต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ยิ่งช่วงนี้นะครับปี 2023 เป็นช่วงที่อะไรหลายหลายอย่างเนี่ยมันไปเร็วมาก มันมีเรื่อง AI มันมีเรื่อง Chat GPT เข้ามานะครับ คือถ้าเกิดคุณไม่เรียนรู้อะไรเนี่ยเท่ากับคุณก้าวถอยหลังแล้วนะครับ การที่คุณเรียนรู้ตลอดเวลาเนี่ยทําให้คุณตาม Trend ใหม่ๆ ทัน และการที่คุณใช้เครื่องมือใช้เทคโนโลยีพวกนี้ได้จะทำให้คุณดูดีในสายตาของผู้ประกอบการ ซึ่งพวกเขาจะเล็งเห็นความสําคัญในตัวคุณนะครับ 3. ทักษะข้อที่สามครับ คุณต้องมีผลงานไปโชว์ให้เขาดูครับ ผลงานเนี่ยมีได้ทุกตําแหน่งเลยนะครับ ไม่ว่าคุณจะทํางานในส่วนของ front ที่ต้องออกไปเจอลูกค้า อย่าง sale หรือ marketing ผลงานที่จะโชว์ได้ก็จะเป็นผลงานในแง่ของการเพิ่มลีด เพิ่มรายได้ และเราทําอะไรให้กับบริษัทบ้าง ถ้าเป็นตำแหน่ง back office เนี่ยก็สามารถมีผลงานได้นะครับ อย่างเช่นคุณทำงานในตำแหน่ง IT ผลงานของคุณคือ คุณได้แนะนำเอาระบบอะไรมาใช้กับบริษัทแล้วช่วยลดต้นทุนได้ ถ้าคุณทำงานเป็น HR คุณช่วยปรับปรุงในแง่ของ organization หรืออะไรที่สามารถช่วยลดต้นทุนการ operateในระยะยาวนะครับ…
หากวันนี้คุณเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจใหม่ไม่มีลูกค้าอยู่ในมือเลยนะครับ Trust หรือความไว้วางใจเป็นสิ่งที่สําคัญมากมากที่คุณจะต้องสร้าง ก่อนที่ลูกค้าจะซื้อสินค้าจากคุณครับ บทความนี้ผมจะแชร์จากประสบการณ์ว่าผมใช้วิธีสร้าง Trust อย่างไรในหาลูกค้าใหม่รายแรกๆนะครับ ข้อ 1. คุณต้องขายโปรไฟล์ตัวเองก่อนนะครับ เพราะว่าช่วงแรกที่คุณเปิดบริษัท ลูกค้ายังไม่รู้จักคุณ แต่ถ้าเกิดคุณทําเป็นพนักงานประจํามาสิบปี คุณมีความเชี่ยวชาญด้านไหน คุณจะมีชื่อเสียงในสาขานั้นๆ ให้คุณขายโปรไฟล์ตัวเอง เพื่อให้ได้ความไว้วางใจกับลูกค้า ให้เค้าซื้อที่ตัวคุณก่อนนะครับ ไม่ได้ซื้อเพราะตัวบริษัท ข้อ 2. สร้าง Trust จากการเจอลูกค้าต่อหน้า เพราะว่าถึงแม้ว่าช่วงนี้ (กลางปี 2023) มันจะเป็นช่วงที่ทุกคนสามารถ ประชุมกับแบบวีดีโอคอลกันได้แทนการประชุมแบบพบหน้ากัน แต่ยังไงถ้าเกิดคุณขายสินค้ามูลค่าหลักแสน และหลักล้านบาทขึ้นไป การที่คุณไปเจอลูกค้าที่ออฟฟิศของพวกเขาจะสร้าง Trust ได้ดีกว่า ให้คุณแต่งตัวดีๆ ใส่สูทไปพบ และพรีเซนต์งานกับลูกค้านะครับ ให้ทำนามบัตรให้ดูดี แล้วยื่นให้ลูกค้าแต่ละคนด้วยความมั่นใจ ลูกค้าก็จะรู้สึกไว้วางใจคุณได้มากกว่าการแต่คุยกันทางโทรศัพท์ และทางวีดีโอคอล ข้อ 3. เสนอการทดลองใช้ฟรี ถ้าเกิดลูกค้าเริ่มสนใจจะใช้สินค้าคุณแล้วเนี่ย แต่เขายังลังเลที่จะซื้อนะครับผม ให้คุณ offer ไปเลยว่า คุณลูกค้าครับ ลูกค้าสามารถทดลองใช้สินค้าผมฟรีได้ในระยะเวลา 7 วันนะครับ ก่อนที่จะซื้อจริงนะครับ ซึ่งช่วง…
คุณเคยสงสัยไหมว่า มันมีกี่วิธีที่จะทำให้รายได้ธุรกิจของคุณเพิ่มขึ้นได้ 100 วิธีเหรอ หรือว่า 200 วิธี น่าจะเป็น 500 วิธีแน่ๆ เลย ถ้าเป็นนักการตลาดระดับโลกอย่าง Jay Abraham นั้น เค้าบอกว่ามีแค่ 3 วิธีเท่านั้นที่จะเพิ่มยอดรายได้ให้กับธุรกิจได้ บทความนี้ผมจะเขียนอธิบายให้เข้าใจง่ายโดยสรุปนะครับ หลักการข้อนี้ตรงไปตรงมาเลยนะครับ ถ้าคุณต้องการธุรกิจที่มากขึ้น จะต้องหาจำนวนลูกค้าใหม่เข้า หรือภาษาทางการตลาดเรียกว่าทำ lead generation ซึ่งทำให้หลายวิธีด้วยกัน เช่น 2. เพิ่มยอดซื้อเฉลี่ยของลูกค้าจากการซื้อแต่ละครั้ง หากคุณมีจำนวนลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียว แต่ยังขายสินค้าหรือบริการในราคาเท่าเดิม (หรืออาจจะลดลง) จะส่งผลให้ยอดรายได้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างไม่เต็มที่ ผมจะให้หลักการบางข้อที่ผมเคยทำแล้วได้ผลในการเพิ่มราคาสินค้า หรือบริการครับ 3. เพิ่มความถี่ในการซื้อซ้ำให้มากขึ้น นักธุรกิจหลายคนพลาดโอกาสในการเพิ่มยอดรายได้ธุรกิจด้วยการไม่ได้ไปกลับไปนำเสนอสินค้าให้ลูกค้ารายเดิมซื้อซ้ำ หากคุณมั่นใจในสินค้า หรือบริการของคุณ และลูกค้ารายเดิมมีความพอใจในการใช้สินค้าของคุณแล้วละก็ อย่ารอช้าที่จะไปนำเสนอขายให้กับพวกเขา ผมจะให้หลักการบางข้อครับ หากคุณต้องการเพิ่มรายได้แบบทวีคูณ คุณควรจะทำให้ครบทั้งสามข้อนี้ และเพิ่ม % ในแต่ละข้อให้มากขึ้น จากนั้นคุณจะเห็นผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ ลองดูตารางข้างล่างนี้ ถ้าสมมุติว่า จำนวนลูกค้าอยู่ที่ 1,000 ราย มียอดการซื้อ…
มีเรื่องมากมายที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปิดการขาย ซึ่งมีผลทำให้คุณขายของไม่ได้สักที ส่วนใหญ่ที่ผมเจอมีอยู่ 3 เรื่องนี้ครับ 1. ต้องให้ข้อมูลเยอะก่อนลูกค้าถึงจะซื้อ บางคนเข้าใจว่าคุณต้องจําประโยชน์สินค้าให้ได้ทุกข้อก่อน จากนั้นคุณพูดทุกข้อให้ลูกค้าฟังหมดเลย แล้วพอลูกค้าฟังเสร็จแล้วเนี่ย คุณคิดว่าลูกค้าถึงจะซื้อของจากคุณเหรอครับ ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ครับ จริงๆแล้วลูกค้าเขาไม่ได้ซื้อเพราะข้อมูลนะครับ แต่ลูกค้าเขาซื้อเพราะอารมณ์ครับ เพราะฉะนั้นหน้าที่หลักๆของคุณ คือคุณต้องรู้ปัญหาลูกค้า และคุณต้องบิ้วอารมณ์ลูกค้าให้ได้ ถ้าเกิดสมมุติลูกค้าเข้าซื้อสินค้าจากคุณแล้วเนี่ยชีวิตเขาเนี่ยจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นยังไงนะครับ 2.ราคาต้องถูกลูกค้าถึงจะซื้อ อันนี้ก็ผิดเช่นกันครับ เพราะถ้าเกิดสมมุติทุกคนซื้อเพราะราคาถูกอย่างเดียวเนี่ย พวกสินค้าแบรนด์เนม พวกมือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้าแพงๆ พวกเนี้ย คงขายไม่ออก แต่จริงๆแล้วเนี่ยทุกคนอยากซื้อสินค้าต่อให้ราคาแพงครับ เค้าซื้อเพราะเค้าเชื่อมั่นครับว่ามันจะใช้ได้จริงนะครับ หลายๆครั้งเนี่ยที่คุณซื้อมือถือ ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพงหน่อย แต่คุณคิดว่ามันจะใช้ได้ดีใช่มั้ยครับ หลายๆครั้งที่คุณลงทุนซื้อเสื้อผ้าซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมเพราะคุณเชื่อมั่นว่าใส่แล้วเนี่ยจะดูดี คนอื่นจะชมคุณนะครับ 3.ต้องเป็นคนพูดเก่งเท่านั้นลูกค้าถึงจะซื้อจากคุณ อันนี้ก็ผิดเช่นกันครับ หลายๆคนเข้าใจว่า เซลล์ที่เก่งต้องพูดเก่ง พูดหว่านล้อม ต้องพูดเร็วกว่าลูกค้า … ว่ากันไป จริงๆไม่ใช่ครับ ยิ่งพูดเยอะ บางทีลูกค้ารําคาญด้วยซ้ำนะครับ หลักการคือ คุณต้องพูดน้อย แต่คุณต้องฟังลูกค้าให้เยอะ วิธีการที่จะทําได้เนี่ย ก็คือคุณต้องถามคําถามลูกค้าครับ ถามคําถามให้ลูกค้าบอกว่าปัญหาเขาคืออะไร แล้วหลังจากคุณรู้ว่าปัญหาลูกค้าคืออะไรแล้วให้คุณจับไป matching กับทางสินค้า และบริการของคุณว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้ายังไงบ้าง ให้ลูกค้าพูดเยอะกว่าคุณ…
ผู้บริหาร เจ้าของกิจการคงมี challenge ใหม่ๆในการบริหารทีมงานขายแบบ remote ถึงแม้ว่าโรคระบาดโควิคจะดีขึ้นแล้ว แต่โดยแนวโน้มนี้คงไม่ได้หายไปในโลกของการทำงาน โดยเฉพาะทางทำงานแบบ hybrid ที่ผสมตรงกลางระหว่างการเข้าทำงานที่ออฟฟิส และการทำงานจากที่บ้านของพนักงาน อาจเป็นในเรื่องของการควบคุมค่าใช้จ่ายเช่าออฟฟิสของบริษัทด้วย
นักขายหลายคนมักกังวลกับข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้น เพราะนักขายมือใหม่ หรือแม้กระทั่งนักขายที่มีประสบการณ์มาระดับนึงแล้วจะไม่สามารถตอบข้อโต้แย้งจากลูกค้าได้ และจะส่งผลทำให้ดีลนี้ปิดการขายไม่ได้ จริงๆแล้วนั้นการรับมือกับข้อโต้แย้งเป็นสิ่งที่เตรียมตัวและฝึกฝนกันได้ มันเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้